เหตุการณ์ต่างๆในสมัย กรุงศรีอยุธยา

เหตุการณ์ต่างๆในสมัย กรุงศรีอยุธยา



     สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 หรือพระเจ้าอู่ทองสถาปนากรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี เมื่อวันที่ 3 เมษายน พ.ศ.1893 เป็นกษัตริย์ราชวงศ์เชียงราย ทรงปกครองกรุงศรีอยุธยาจนถึง พ.ศ. 1912 ก็สวรรคต
     พระราเมศวรพระราชโอรสที่ครองเมืองลพบุรีเสด็จมาเสวยราชแทนพระราชบิดา (พ.ศ.1912-1913) แต่ขุนหลวงพะงั่ว พระปิตุลา (อา) เสด็จเข้ามาหมายจะครองราชย์ จึงทรงสละราชบัลลังก์กลับไปครองเมืองลพบุรีดังเดิม
     ขุนหลวงพะงั่วเสวยราชสมบัติกรุงศรีอยุธยา ทรงพระนามว่า พระบรมราชาธิราชที่ 1 เป็นต้นราชวงศ์สุวรรณภูมิ ครองราชย์ พ.ศ.1913 ถึงพ.ศ.1931 เสด็จสวรรคต
     พระเจ้าทองลัน ราชโอรสขึ้นเสวยราชย์แทน เมื่อพระชนมายุ 15 พรรษา เพียง 7 วัน พระราเมศวรก็เสด็จมาจับปลงพระชนม์
     สมเด็จพระราเมศวร ทรงครองราชย์ตั้งแต่พ.ศ.1931 ถึงพ.ศ.1938 ทรงเป็นจอมทัพยกไปตีเมืองกำพูชาได้
     สมเด็จพระรามราชาธิราช พระราชโอรสเสวยราชสมบัติแทนพระราชบิดา พ.ศ.1938 ครั้นถึงพ.ศ.1952 ก็เกิดเหตุการณ์แย่งชิงราชสมบัติเป็นครั้งแรกของกรุงศรีอยุธยา คือพระราชนัดดาของขุนหลวงพะงั่วที่ครองเมืองสุพรรณมาจับพระรามราชาธิราชปลงพระชนม์แล้วขึ้นครองราชย์แทน ทรงพระนามว่า สมเด็จพระนครินทราชาธิราช
     สมเด็จพระนครินทราชาธิราช ครองราชย์ พ.ศ.1952 ถึงพ.ศ.1967 มีพระโอรส 3 พระองค์ คือ เจ้าอ้ายพระยา โอรสองค์ใหญ่ทรงให้ครองเมืองสุพรรณ เจ้ายี่พระยา โอรสองค์กลางให้ครองเมืองสรรค์ และเจ้าสามพระยา โอรสองค์เล็กให้ครองเมืองชัยนาท เมื่อพระราชบิดาสวรรคต โอรสทั้งสามก็ยกทัพเข้ากรุงศรีอยุธยา เจ้าอ้ายพระยาและเจ้ายี่พระยาชนช้างกันที่เชิงสะพานป่าถ่าน สวรรคตบนคอช้างทั้งสองพระองค์ เจ้าสามพระยายกทัพมาภายหลังก็เข้ากรุงศรีอยุธยาเสวยราชย์สมบัติแทนพระราชบิดาทรงพระนามว่า พระบรมราชาธิราชที่ 2
     สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 ครองราชย์ พ.ศ.1967 ถึงพ.ศ.1991 ทรงมีพระราชโอรสทรงพระนามว่า พระราเมศวร โปรดให้ไปครองหัวเมืองเหนือ ณ เมืองพิษณุโลก ครั้นพระราชบิดาสวรรคตก็เสด็จขึ้นครองราชย์แทนพระราชบิดา ทรงพระนามว่า พระบรมไตรโลกนาถ
     สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ครองราชย์ พ.ศ. 1991 ถึง พ.ศ.2031 เหตุการณ์สำคัญในสมัยนี้คือ ทรงยกทัพไปรบกับพระเจ้าติโลกราชแห่งเชียงใหม่ ทรงยกเมืองพิษณุโลกเป็นเมืองหลวง เสด็จไปประทับพ.ศ. 2006 จนสวรรคตที่นั่น ส่วนกรุงศรีอยุธยาให้เป็นเมืองลูกหลวง โปรดให้พระบรมราชา พระโอรสองค์ใหญ่มาครอง สมัยนี้มีการปรับปรุงระบบการปกครองเป็น เวียง วัง คลัง นา และบำรุงพระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรืองเป็นอันมาก
     สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 3 ครองราชย์ พ.ศ.2031 ถึงพ.ศ.2034 เมื่อเสด็จขึ้นครองราชย์แทนพระราชแทนพระราชบิดาทำให้กรุงศรีอยุธยากลับมาเป็นเมืองหลวง แต่ครองราชย์ได้เพียง 3 ปีก็สวรรคตพระอนุชาต่างพระมารดาขึ้นเสวยราชย์สมบัติแทนทรงพระนามสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2
     สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 ครองราชย์ พ.ศ.2034 ถึง พ.ศ.2072 ในสมัยนี้มีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นครั้งแรก คือ ฝรั่งชาวปอร์ตุเกสได้เข้ามาติดต่อค้าขายกับกรุงศรีอยุธยาเป็นครั้งแรก ในสมัยนี้ได้จัดทำตำราพิชัยสงคราม เมื่อเสด็จสวรรคตสมเด็จพระอาทิตย์วงศ์พระราชโอรสขึ้นเสวยราชย์แทน ทรงพระนามว่า พระบรมราชามหาหน่อพุทธางกูร
     สมเด็จพระบรมราชาที่ 4 (หน่อพุทธธางกูร) ครองราชย์ พ.ศ.2072 ถึงพ.ศ.2076 ทรงครองราชย์ได้เพียง 5 ปีก็ประชวรทรพิษสวรรคต พระรัษฎาธิราชกุมาร พระชนม์ 5 พรรษา ขึ้นเสวยราชย์แทน
     สมเด็จพระรัษฎาธิราชกุมาร ครองราชย์พ.ศ.2076 อยู่ได้เพียง 5 เดือน พระไชยราชาธิราชก็ปลงพระชนม์และขึ้นครองราชย์แทน
     สมเด็จพระไชยราชาธิราช เสวยราชย์ พ.ศ.2077 ถึงพ.ศ.2090 ได้ทำสงครามกับพม่าเป็นครั้งแรก ทำให้รบกันยาวนานต่อมาถึง 300 ปีเศษ เมื่อเสด็จสวรรคต พระแก้วฟ้า พระโอรสองค์ใหญ่ พระชนมายุ 11 พรรษาขึ้นครองราชย์สืบแทน
     สมเด็จพระยอดฟ้า ครองราชย์สมบัติ พ.ศ.2090 ถึงพ.ศ.2091 มีเจ้าแม่อยู่หัวศรีสุดาจันทร์เป็นผู้สำเร็จราชการมีเหตุการณ์สำคัญคือ เจ้าแม่อยู่หัวเป็นชู้กับพันบุตรศรีเทพและยกขึ้นเป็นขุนวร และเกิดราชบุตร ต่อมาสมเด็จพระแก้วฟ้าก็ถูกลอบปลงพระชนม์ ส่วนขุนวรวงศาธิราช เจ้าแม่ศรีสุดาจันทร์และราชบุตร ถูกขุนพิเรนทรเทพและขุนนางเสนาบดีจับปลงพระชนม์ที่คลองสระบัว และไปเชิญสมเด็จพระเฑียรราชา ซึ่งเป็นพระอนุชาต่างพระมารดาของสมเด็จพระไชยราชาธิราชให้ทรงลาผนวชเสด็จขึ้นครองราชย์แทนทรงพระนาม สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ์ ขุนพิเรนทรเทพ เชื้อสายวงศ์สุโขทัยได้รับความชอบ สถาปนาเป็นสมเด็จพระมหาธรรมราชา
     สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ์ ครองราชย์ พ.ศ. 2091 ถึงพ.ศ.2106 และครั้งที่ 2 พ.ศ.2111 ถึงพศ.2112 ทรงยกพระราชธิดาอันเกิดจากสมเด็จพระศรีสุริโยทัย พระราชทานเป็นพระมเหสีพระมหาธรรมราชา ให้ไปครองเมืองพิษณุโลก เกิดสงครามกับพม่า พระศรีสุริโยทัยสิ้นพระชนม์บนคอช้าง ณ ทุ่งภูเขาทอง พ.ศ.2091 หลังเสวยราชเพียง 6 เดือน ส่วนพม่าเสียพระเจ้าแปร ทำให้เปลี่ยนแผ่นดินเป็นบุเรงนอง เกิดการรบใหญ่ระหว่างไทยกับพม่า ทางด้านกรุงศรีอยุธยา พระมหาจักรพรรดิ์ทรงสละราชสมบัติออกผนวช ให้พระมหินทราธิราชครองราชย์แทน
     สมเด็จพระมหินทราธิราช ครองราชย์ พ.ศ.2106 ถึงพ.ศ.2111 และครั้งที่ 2 พ.ศ.2112 บุเรงนองยกทัพใหญ่ล้อมกรุงศรีอยุธยา พระมหินทราธิราชทรงอ้อนวอนพระราชบิดาให้ทรงลาผนวชมาบัญชาการรบ การรบครั้งนี้กรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่า เพราะพระยาจักรีเป็นไส้ศึก พม่าล้อมเมืองถึง 9 เดือน กำลังจะถึงฤดูน้ำหลาก กรุงศรีอยุธยาแตกวันอาทิตย์ เดือน 9 แรม 11 ค่ำ ปีมะเส็ง พ.ศ.2112 ก่อนน้ำหลากมาท่วมทุ่งอยุธยาเพียง 20 วันเท่านั้นเอง
     สมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราช ครองราชย์ พ.ศ.2112 ถึง พ.ศ.2133 เป็นสมัยที่กรุงศรีอยุธยาตกเป็นเมืองประเทศราชภายใต้การปกครองของพม่า มีพระราชธิดาคือพระสุพรรณกัลยาณี และพระราชโอรสสองพระองค์ คือ สมเด็จพระนเรศวรและสมเด็จพระเอกาทศรถ พระสุพรรณกัลยาณีและสมเด็จพระนเรศวร พระเจ้าหงสาวดีขอไปเป็นตัวประกันตั้งแต่พระนเรศวรพระชนมายุ 9 พรรษา พระราชบิดาทูลขอกลับมาเมื่อขึ้นเสวยราชย์ ขณะนั้นพระชนมายุ 15 พรรษา พระบิดาโปรดให้ไปครองเมืองพิษณุโลก ครั้นวันที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ.2127 พระนเรศวรทรงประกาศอิสระภาพ ณ เมืองแกรง ซึ่งเป็นเวลาถึง 15 ปีที่ไทยตกเป็นเมืองขึ้นของพม่า ถึงพ.ศ.2133 พระมหาธรรมราชาเสด็จสวรรคต
     สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ครองราชย์พ.ศ.2133 ถึงพ.ศ.2148 เกิดสงครามใหญ่ระหว่างไทยกับพม่า เมื่อวันที่ 25 มกราคม พ.ศ.2135 เรียกว่า สงครามยุทธหัตถี พระมหาอุปราชามังสามเกียดต้องพระแสงของ้าวสิ้นพระชนม์ขาดคอช้าง ทำให้พม่าไม่กล้ายกทัพมารบกับไทยเป็นเวลานานนับร้อยปี สมเด็จพระนเรศวรสวรรคตพ.ศ.2148
     สมเด็จพระเอกาทศรถ ครองราชย์พ.ศ.2149 ถึงพ.ศ.2163 เป็นช่วงบ้านเมืองสงบ มีการขยายความสัมพันธ์กับเพื่อนบ้านและการค้ากับต่างประเทศมากขึ้น สวรรคตพ.ศ.2163
     สมเด็จเจ้าฟ้าศรีเสาวภาคย์ พระราชโอรสขึ้นเสวยราชย์แทนพระราชบิดา พ.ศ.2163 – พระศรีสินซึ่งเป็นพระอนุชาสละสมณเพศออกมาจับปลงพระชนม์ แล้วขึ้นครองราชย์แทน ทรงพระนามว่า พระเจ้าทรงธรรม
     สมเด็จพระเจ้าทรงธรรม ครองราชย์พ.ศ.2163 ถึงพ.ศ.2172 สมัยนี้มีการค้าขายกับชาติตะวันตกและสร้างมณฑปสวมพระพุทธบาท เมื่อเสด็จสวรรคต พระเชษฐาธิราช พระราชโอรสองค์ใหญ่เสด็จครองราชย์แทน
     สมเด็จพระเชษฐาธิราช ครองราชย์ พ.ศ.2171 ถึงพ.ศ.2172 มีเหตุทรงระแวงเจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์ ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นโอรสลับของพระเอกาทศรถที่เกิดจากนางอินบาทบริจาริกาตอนเสด็จเกาะบางปะอิน ทรงให้จับเจ้าพระยากลาโหม แต่ความแตก เจ้าพระยากลาโหมจึงจับปลงพระชนม์ แล้วยกพระอาทิตยวงศ์ พระราชโอรสองค์เล็กของพระเจ้าทรงธรรม พระชนมายุ 9 พรรษาขึ้นครองราชย์
     สมเด็จพระอาทิตยวงศ์ ครองราชย์ พ.ศ.2172 ยังทรงพระเยาว์นัก ครองราชย์ได้ 6 เดือน เสนาบดีและขุนนางทั้งหลายลงมติให้ปลดและยกเจ้าพระยากลาโหมเป็นพระเจ้าแผ่นดิน ทรงพระนามว่า สมเด็จพระเจ้าปราสาททอง
     สมเด็จพระเจ้าปราสาททอง ครองราชย์ พ.ศ.2172 ถึงพ.ศ.2199 ในสมัยนี้มีภารติดต่อกับประเทศตะวันตก การลบศักราชและขยายอำนาจไปปกครองเขมร เมื่อเสด็จสวรรคต เจ้าฟ้าไชยพระราชโอรสขึ้นครองราชย์แทน
     สมเด็จเจ้าฟ้าไชย ครองราชย์ พ.ศ.2199 แต่ไม่ถึงปี พระศรีสุธรรมราชาและพระนารายณ์ พระราชโอรสอีกองค์หนึ่งของพระเจ้าปราสาททองก็ล้มราชบัลลังก์
     สมเด็จพระศรีสุธรรมราชา ครองราชย์ พ.ศ.2199 แต่อยู่เพียงสามเดือนเกิดสงครามกลางเมืองกับพระนารายณ์ ถูกพระนารายณ์สังหาร ยึดราชบัลลังก์สำเร็จ
     สมเด็จพระนารายณ์มหาราช ครองราชย์ พ.ศ.2199 ถึงพ.ศ.2231 เป็นสมัยที่มีการติดต่อค้าขายกับฝรั่งมากที่สุด ได้ย้ายเมืองหลวงไปยังเมืองลพบุรี เมื่อสวรรคตเกิดสงครามแย่งชิงราชสมบัติ พระเพทราชายึดอำนาจได้จึงขึ้นครองราชย์แทน
     สมเด็จพระเพทราชา ครองราชย์ พ.ศ.2231 ถึงพ.ศ.2246 ตระกูลเดิมคือตะพุ่นหญ้าช้าง เป็นราชวงศ์บ้านพลูหลวงซึ่งเป็นราชวงศ์สุดท้ายก่อนกรุงศรีอยุธยาถูกพม่าเผาทำลาย มีขุนหลวงสรศักดิ์เป็นอุปราช พอเสด็จสวรรคต เกิดสงครามกลางเมืองเพื่อแย่งราชบัลลังก์ ขุนหลวงสรศักดิ์ได้ขึ้นครองราชย์ ทรงพระนามว่า พระศรีสรรเพชญที่ 8
     สมเด็จพระศรีสรรเพชญที่ 8 (พระเจ้าเสือ) ครองราชย์ พ.ศ.2246 ถึงพ.ศ.2252 อยู่ในราชบัลลังก์ 6 ปี สวรรคต พระราชโอรสคือ พระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ ขึ้นเสวยราชย์แทน
     สมเด็จพรเจ้าอยู่หัวท้ายสระ ครองราชย์ พ.ศ.2252 ถึงพ.ศ.2275 ปลายรัชกาลเริ่มมีความขัดแย้งระหว่างกรมพระราชวังบวรสถานมงคล (เจ้าฟ้าพร) และเจ้าฟ้าอภัย เมื่อพระราชบิดาสวรรคตก็เกิดสงครามกลางเมืองแย่งชิงราชสมบัติ เจ้าฟ้าอภัยแพ้ถูกสำเร็จโทษ กรมพระราชวังบวรสถานมงคลขึ้นเสวยราชย์ ทรงพระนามว่า พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ
     สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ครองราชย์ พ.ศ.2276 ถึงพ.ศ.2301 พระองค์มีพระราชโอรส 3 พระองค์คือ เจ้าฟ้าธรรมธิเบศร์ ทรงตั้งให้เป็นพระอุปราช เจ้าฟ้ากรมขุนอนุรักษ์มนตรี และเจ้าฟ้ากรมขุนพรพินิต เจ้าฟ้าธรรมธิเบศร์ต้องโทษเพราะลอบรักกับพระสนมของพระราชบิดา ถูกเฆี่ยนจนถึงพิราลัย เมื่อใกล้สิ้นรัชกาลสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศทรงมอบราชสมบัติให้กรมขุนพรพินิต ส่วนกรมขุนอนุรักษ์มนตรี โอรสองค์ใหญ่ทรงขับไล่ไปบวช เมื่อสิ้นรัชกาลเจ้าฟ้ากรมขุนพรพินิต ขึ้นเสวยราชย์ ทรงพระนาม สมเด็จพระเจ้าอุทุมพร คนมักเรียกว่า ขุนหลวงหาวัด
     สมเด็จพระเจ้าอุทุมพร ครองราชย์ พ.ศ.2301 ครองราชย์ได้เพียง 19 วัน กรมขุนอนุรักษ์มนตรีก็สึกออกมาจึงทรงมอบราชสมบัติให้ พระองค์ทรงออกผนวช ณ วัดประดู่ทรงธรรม กรมขุนอนุรักษ์มนตรีที่พระบิดาเคยตรัสว่า "โฉดเขลาหาควรเป็นกษัตริย์ไม่..." ก็เสวยราชย์ ทรงพระนามว่า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระที่นั่งสุริยามรินทร์
     สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระที่นั่งสุริยามรินทร์ (สมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์) ครองราชย์ พ.ศ.2301 ถึงพ.ศ.2310 ขุนนางไม่พอใจจึงพากันออกบวชเป็นอันมาก ปลายปีพ.ศ.2308 กองทัพพม่าเห็นความระส่ำระส่ายของกรุงศรีอยุธยาจึงยกกองทัพเข้าตีตามรายทาง และเข้าล้อมกรุงศรีอยุธยา พระเจ้าเอกทัศน์ไม่มีพระสติปัญญาบริหารบ้านเมืองและบัญชาการรบ จึงให้อัญเชิญเจ้าฟ้าอุทุมพรทรงลาผนวชมาครองราชย์และบัญชาการรบทำให้พระเจ้าเอกทัศน์อยากครองราชย์อีก เจ้าฟ้าอุทุมพรทรงรำคาญพระทัยเลยเสด็จออกทรงผนวชอีก ส่วนพระเจ้าเอกทัศน์ก็ทรงสำราญและมัวเมาในอิสตรีไม่เอาพระทัยใส่ในการป้องกันบ้านเมือง พม่าล้อมเมือง 1 ปีกับ 2 เดือน ขุดอุโมงค์เผากำแพงพังลงมา บุกเข้ากรุงศรีอยุธยาได้
     เมื่อวันที่ 7 เมษายน พ.ศ.2310 ตรงกับวันอังคาร เดือน 5 ขึ้น 9 ค่ำ ปีกุน นพศก จุลศักราช 1129 ไล่ฆ่าผู้คน ปล้นเมืองจุดไฟเผาทุกสิ่งทุกอย่าง กรุงศรีอยุธยาที่รุ่งเรืองสืบต่อกันมา 417 ปีก็ถึงกาลพินาศย่อยยับ ไม่อาจฟื้นคืนมาเป็นราชธานีแห่งกรุงสยามอีกต่อไป เป็นอันสิ้นสุดประวัติศาสตร์อันยาวนานของกรุงศรีอยุธยาโดยสิ้นเชิง ซึ่งเกิดจากการแตกสามัคคีและแก่งแย่งชิงดีและเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนของคนไทยนั่นเอง