กรุงศรีอยุธยาราชธานีของไทยในสมัยอดีต เคยเจริญรุ่งเรืองทั้งวัตถุและจิตใจของไพร่ฟ้าข้าแผ่นดิน กวีในสมัยนั้นเขียนพรรณาถึงกรุงศรีอยุธยาว่าสง่างามดังเมืองสวรรค์ประชาชนมีความสุขสำราญด้วยการเที่ยวเตร่ ชมการละเล่นหลากลายชนิด ทั้งวัฒนธรรมประจำชาติก็เป็นที่สนใจของคนไทยและชาวต่างชาติที่เข้ามาเชื่อมสัมพันธไมตรี ทำมาค้าขายในสมัยนั้น วัฒนธรรมสมัยอยุธยาที่ยังสืบสานต่อมามาจนถึงสมัยปัจจุบัน ทางด้านดนตรีและศิลปะการละเล่นนั้น นับเป็นวิวัฒนาการและเป็นแบบแผนที่ยอมรับของผู้ที่ได้ชมได้ฟังโดยทั่วไป

การแสดงโขน ตอนทศกัณฑ์สั่ง
ให้มารีศแปลงเป็นกวางทองไปล่อนางสีดา
วัฒนธรรมทางด้านดนตรี ในสมัยอยุธยามีวงดนตรีบรรเลงทั้งในพระราชสำนักและตามชุมชนชาวบ้านทั่วไ ป ดนตรีไทยสมัยอยุธยาวิวัฒนาการมาจากดนตรีสมัยสุโขทัย โดยเพิ่มเครื่องดนตรีให้มีมากชิ้นขึ้น เช่น เพิ่มระนาด ซึ่งในสมัยสุโขทัยไม่มีระนาด วงดนตรีที่มีระนาดเพิ่มขึ้นมาในสมัยอยุธยา เรียกว่า ปี่พาทย์เครื่องห้า ประกอบด้วย ปี่ใน ระนาด ฆ้องวง ตะโพน กลองทัด (ลูกเดียว เพิ่งมาเพิ่มเป็น ๒ ลูกในสมัยรัชกาลที่ ๒ กรุงรัตนโกสินทร์) และเครื่องประกอบจังหวะ คือ ฉิ่ง นอกจากวงปี่พาทย์แล้ว ในสมัยอยุธยายังมีวงเครื่องสายและวงมโหรีอีกด้วย วงเครื่องสายและวงมโหรีจะเป็นวงดนตรีในพระราชสำนักสำหรับบรรเลงถวายพระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์ ชาวบ้านทั่วไปคงจะไม่มีวงดนตรีชนิดนี้เวลาที่มีงานพระราชพิธีจะมีเค รื่องดนตรีเป็นพิเศษสำหรับประโคม ได้แก่ บัณเฑาะว์ (ลาลูแบร์ ราชทูตของพระเจ้าหลุยส์ ที่ ๑๔ แห่งประเทศฝรั่งเศส เข้ามาเจริญพระราชไมตรีกับกรุงศรีอยุธยา ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เรียกบัณเฑาะ ว์ว่า ตลุงปุงปัง คงจะเรียกตามเสียงที่เกิดจากการไกวบัณเฑาะว์) สังข์ แตร ปี่ไฉน ปี่ชวา เปิงมาง กลองชนะ และโหรทึก
ในสมัยอยุธยามีการติดต่อสัมพันธไมตรีกับนานาชาติ ทำให้ไทยเราได้รับวัฒนธรรมทางด้านดนตรีมาจาก ชาติเหล่านั้น เช่น ได้กลองแขก ปี่ชวามาจากชวา และได้กลองจีนมาจากจีน เป็นต้น ไทยเรานำเครื่องดนตรีของต่างชาติเข้ามาบรรเลงในวงดนตรีไทยได้อย่างเหมาะสม
ในเวลาที่มีพระราชพิธีต่างๆ เช่น พระราชพิธีโสกันต์ พระราชพิธีสมโภชพระบรมมหาราชวัง เป็นต้น จะมีการละเล่นของหลวงสมโภชโดยจัดเล่นถวายหน้าพระที่นั่ง การละเล่นของหลวงในพระราชพิธีมี ระเบง โมงครุ่ม และกลาตีไม้ การละเล่นทั้ง ๓ ชนิด ดังกล่าวนี้ มีกล่าวไว้เป็นหลักฐานใน งานสมโภชพระพุทธบาทสมัยสมเด็จพระเจ้าบรมโกศ ซึ่งพระมหานาควัดท่าทรายเขียนพรรณนาไว้ในหนังสือบุณโณวาทคำฉันท์ บทที่เกี่ยวกับ เล่นระเบง มีดังนี้
“บัดเบื้องระเบงแต่ง
กลกายประดุจมง
ครุ่มเทริด บ สมทรง
กรกุมธนูเมียง
ย่องยิงมยุรมรณ
ก็สอ้อนสะเอวเอียง
ลูกคู่ก็แตกเสียง
โอละพ่อตระหลบเวียน”
สำหรับบทที่เป็นการเล่นโมงครุ่ม พระมหานาควัดท่าทราย บรรยายว่า
“โมงครุ่มคณาชาย
กลเพศพึงแสยง
ทับทรวงสะอิ้งแผง
ก็ตะกูตะโกคำ
เทริดใส่ บ ใครยล
ก็ละลนละลาวทำ
กุมแส้ทวารำ
ศัพทร้องดำเนินวง”
การละเล่นระเบง โมงครุ่ม กุลาตีไม้ เป็นการละเล่นของหลวงในพระราชพิธี ผู้เล่นเป็นข้าราชการในราชสำนัก มิใช่ชาวบ้านทั่วไป
ส่วนชาวบ้านทั่วไปที่เป็นผู้ชายก็ร่วมกันจัดการละเล่นตามแบบอย่างที่เรียกว่า ละคร นับเป็นละครของชาวบ้าน แสดงเรื่องต่างๆ ต่อมาเกิดละคร ของพระมหากษัตริย์แสดงโดยสาวสรรกำนัลใน แสดงเรื่อง รามเกียรติ์ อิเหนา และอุณรุท จึงมีประกาศห้ามมิให้ชาวบ้านแสดงละครทั้ง ๓ เรื่องนี้ ละครของชาวบ้านที่ใช้ผู้ชายแสดงจะไม่ประณีตทั้งในลีลาท่ารำ และการร้องเพลง การดำเนินเรื่องจะรวดเร็ว เวลาที่มีบทเจรจาตลกจะใช้ถ้อยคำส องแง่สองง่าม ค่อนข้างหยาบคาย โดยมุ่งหมายให้คนดูสนุกสนาน และไม่ยึดถือขนบธรรมเนียมประเพณีมากนัก เพลงร้อง จะเป็นแบบของละครชาวบ้าน ภายหลังที่เกิดมีละครนางใน แสดงในพระราชฐานของพระมหากษัตริย์ และกำหนดชื่อว่า ละครใน ละครของชาวบ้านจึงมีชื่อว่า ละครนอก เพลงร้องก็มีคำว่า “นอก” ต่อท้าย เช่น เพลงช้าปี่นอก เพลงร่ายนอก เพลงโอ้ปี่นอก เป็นต้น
การแสดงหนังใหญ่
ในขณะที่ชาวบ้านแสดงละครแบบชาวบ้านกันอย่างแพร่หลายนั้น ในพระราชฐานของพระมหากษัตริย์ ก็มีการจับระบำรำฟ้อน โดยผู้แสดงเป็น สาวสรรกำนัลใน ต่อมาพระมหากษัตริย์พระองค์พระองค์หนึ่ง ผู้ครองกรุงศรีอยุธยาคงจะมีพระราชดำรัสให้นางรำเหล่านั้น จับระบำฟ้อนเป็นเรื่อง เช่น เรื่องรามสูรเมขลา อันเป็นตำนานฟ้าแลบ ฟ้าร้อง เมื่อได้แสดงเป็นตอนเป็นชุดแล้ว จึงจัดแสดงเป็นเรื่องยาวๆ โดยนำเรื่องรามเกียรติ์ เรื่องอุณรุท และต่อมาในสมัยสมเด็จพระเจ้าบรมโกศ เกิดมีเรื่องอิเหนาเพิ่มขึ้นมา จึงนำทั้ง ๓ เรื่องดังกล่าวแสดงเป็นละครกำหนดชื่อละครใน โดยใช้ผู้แ สดงเป็นหญิงล้วน ศิลปะการแสดงละครในเน้นความสำคัญที่การร่ายรำอ่อนช้อยสวยงามไม่มีการติดตลกโดยไม่ถือชั้นวรรณะเพลงก็ร้องตรงกันข้ ามกับละครนอก และกำหนดให้เป็นเพลงร้องของละครในโดยเฉพาะ เช่น เพลงช้าปี่ใน เพลงร่ายใน และเพลงโอ้ปี่ใน เป็นต้น
วัฒนธรรมด้านการละเล่นที่นิยมแพร่หลายในสมัยอยุธยาอีกอย่างหนึ่งคือ หนังใหญ่ การเล่นหนังใหญ่นิยมเล่นเรื่องรามเกียรติ์ ศิลปะการเล่นหนัง ใหญ่จะต้องตั้งจอหนังใหญ่โดยดาดด้วยผ้าขาว สุมไฟไว้ทางด้านหลังจอ ผู้เชิดหนังจะนำตัวหนังที่มีขนาดใหญ่บางตัวสูงประมาณ ๒ เมตร กว้าง ๑ เมตร ฉลุสลักเป็นภาพตัวในเรื่องรามเกียรติ์ แบ่งเป็นตัวพระ ตัวนาง ตัวยักษ์ และตัวลิง ออกมาเชิดทั้งทางด้านหลังจอ และหน้าจอ เวลาเชิดหนัง ทางด้านหลังจอ คนดูจะแลเห็นลวดลายตัวหนังที่ฉลุสลักอย่างสวยงาม เวลาที่คนเชิดหนังนำหนังออกมาเชิดทางด้านหน้าจอ คนดูจะได้เห็นศิลปะ การเต้นยกขาขึ้นลงของผู้เชิดหนังใหญ่ ดนตรีที่ได้บรรเลงประกอบการเล่นหนังใหญ่ คือ วงปี่พาทย์เครื่องห้า การดำเนินเรื่องมีคนพากษ์-เจรจา โดยเจรจาตอนบทพูดและดำเนินเรื่อง พร้อมทั้งบอกเพลงหน้าพาทย์ให้นักดนตรีบรรเลงด้วย

การแสดงโขน
ต่อมาการเล่นหนังใหญ่ไม่ได้รับความนิยมเท่าที่ควร จึงเกิดมีการละเล่นชนิดใหม่ขึ้นมาแทน คือ โขน การแสดงโขนมีวัฒนาการมาจากหนังใหญ่นั่นเอง โดยนำเรื่องรามเกียรติ์มาแสดง นำวงปี่พาทย์เครื่องห้ามาบรรเลงประกอบ ใช้คนแต่งกายเป็นตัวพระ ตัวนาง ตัวยักษ์และตัวลิงออกไปแส ดง การดำเนินเรื่องใช้คนพากย์-เจรจา เช่นเดียวกัน โขนที่แสดงในสมัยอยุธยา นิยมแสดงบนสนามกว้างๆ ไม่มีฉากประกอบ ใช้ธรรมชาติเป็นฉากเรียกว่า โขนกลางแปลง ครั้งหนึ่งในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช โปรดให้มีโขนกลางแปลงทำขวัญเจ้าพระยาวิชเยนทร์ เนื่องจากเจ้าพระยาวิชเยนทร์ถูกหลวงสรศักดิ์ชกปากถึงกับฟันหัก ๒ ซี่
นอกจากโขนกลางแปลงแล้ว ก็มีโขนนั่งราวหรือโขนโรงนอก การแสดงโขนแบบนี้ มีการปลูกโรงให้เล่น ตัวแสดงนั่งบนราวไม้กระบอกแทนการ นั่งเตียง จึงเรียกว่าโขนนั่งราวเหตุที่มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าโขนโรงนอก เป็นเพราะว่าต่อมาเกิดมีการนำเอาศิลปะการแสดงละครในเข้าร่วมในการแสดงโขน เช่น มีการร้องเพลงแบบละครใน เรียกว่า โขนโรงใน โขนนั่งราวที่แสดงอยู่ก่อน จึงได้ชื่อว่าโขนโรงนอก ยังมีโขนอีกชนิดหนึ่ง ชื่อ โขนหน้าจอ การแสดงโขนชนิดนี้เกิดขึ้นตอนที่หนังใหญ่เริ่มวัฒนาการมาเป็นโขน โดยมีการปล่อยตัวโขนออกมาแสดงที่หน้าจอสลับกับการเชิด หนังใหญ่ ต่อจึงเลิกการเชิดหนังใหญ่มีแต่การแสดงโขนอย่างเดียว การแสดงโขนที่มาแทนหนังใหญ่ก็ยังคงแสดงอยู่บนพื้นดินหน้าจอหนังใหญ่ นั่นเอง ต่อมาจึงมีการปลูกโรงยกพื้นสูงระดับสายตาคนดู และขึงผ้าขาวเป็นจอแบบหนังใหญ่ แต่แก้ไขให้มีประตูเข้าออก ๒ ข้าง ทั้งด้านซ้ายและ ด้านขวา สำหรับให้ตัวโขนเข้าออก ถัดจากขอบประตูออกมาทางด้านขวาเขียนเป็นภาพพลับพลาพระรามทางด้านซ้ายของเวทีเขียนเป็นรูปปราสาทราชวัง สมมติเป็นกรุงลงกาหรือเมืองยักษ์

การแสดงโขน
การแสดงโขนในสมัยอยุธยา นับเป็นเครื่องราชูปโภคอย่างหนึ่งของพระมหากษัตริย์ราษฎรทั่วไปจะทำเทียมมิได้ จึงไม่มีโขนของชาวบ้านแสดง แข่งกับโขนหลวงประชาชนที่เป็นชายแสดงได้เพียงละครนอกเท่านั้น
พูดถึงประชาชนชายแสดงละครนอก ซึ่งผู้หญิงไม่แสดงร่วมด้วยแล้ว ทำให้นึกได้ว่ามีวัฒนธรรมชาวบ้านสมัยอยุธยาอยู่อย่างหนึ่ง ที่ประชาชนช ายและหญิงแสดงร่วมกัน คือการร้องเพลงพื้นบ้าน ในสมัยอยุธยาเรียกการร้องเพลงชนิดนี้ตามชื่อเพลงว่า เทพทอง เทพทองเป็นชื่อเพลงพื้นบ้าน ชนิดหนึ่ง ชายหญิงร้องโต้ตอบกัน พระมหานาควัดท่าทรายบรรยายเกี่ยวกับเพลงเทพทองไว้ในหนังสือบุณโณวาทคำฉันท์ ว่า
“เทพทองคนองเฮ
ชนเปรสสดับสรวล
โต้ตอบก็ไป่ควร
ประถ้อยแถลงกัน”
ยังมีการละเล่นอีกอย่างหนึ่งที่นิยมกันมากในสมัยอยุธยา คือ หุ่น เรียกกันในสมัยต่อมาว่า หุ่นใหญ่หรือหุ่นหลวง หุ่นในสมัยนั้น จำลองแบบจากตั วละครที่เป็นคน โดยการทำรูปหุ่นเป็นตัวคนสูงประมาณ ๑ เมตร แต่งกายเครื่องละคร มีสายใยร้อยเข้าไปในแขน ในมือ และในนิ้ว สามารถดึงส ายใยให้หุ่นร่ายรำเลียนแบบตัวละครที่เป็นคนจริงๆ ได้ในงานสมโภชพระพทุธบาทสมัยสมเด็จพระเจ้าบรมโกศ มีการละเล่นเป็นมหรสพในเวลากลางวัน ซึ่งพระมหานาควัดท่าทราย บรรยายไว้ในหนังสือบุณโณวาทคำฉันท์ ว่า
“ฝ่ายหุ่นก็ตั้งโห่
ศัพทส้าวกระโหมโครม
ชูเชิดพระโคโดม
ทวิพราหมณรณงค์
เริ่มเรื่องพระไชยทัต
จรเสด็จพนาพง
ลอบล้อมมฤคยง
อสุรท้าวกุเวรแปลง”

การละเล่นพื้นบ้านของชาวอยุธยาปัจจุบัน